เอาชนะความเปลี่ยนแปลงด้วยความมุ่งมั่นและความคล่องตัว: ศักยภาพในการสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจ

องค์ความรู้ในการดำเนินธุรกิจแบบดั้งเดิมนั้นเน้นย้ำเสมอถึงความสำคัญของความสามารถในการปรับเปลี่ยน ความทรหด และค่านิยมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในสภาพแวดล้อมที่ไม่แน่นอน การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลกนั้นยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการสร้างความยืดหยุ่น ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น เอเชียแปซิฟิก ก็ไม่ต่างกัน เพราะวิกฤตนี้ได้ท้าทายความสามารถของเราในการรักษาความต่อเนื่องทางธุรกิจ การบริหารความเสี่ยง และการเป็นผู้นำด้วยนวัตกรรมในช่วงเวลาที่การดำเนินธุรกิจ “ยามปกติ” ถูกทำให้หยุดชะงัก

เราได้ไปนั่งคุยกับ คุณมาซาสึกุ ไนโตะ ประธานบริษัท ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น เอเชียแปซิฟิก เพื่อรับฟังประสบการณ์ที่ได้ประสบด้วยตัวเองถึงความท้าทายในการเป็นผู้นำท่ามกลางภาวะโรคระบาด ในตอนแรกของซีรีส์สองตอนจบนี้ เราจะพูดคุยเกี่ยวกับความคิดเห็นที่คุณมาซาสึกุ มีต่อความยืดหยุ่น กรอบการทำงานที่ได้ทดลองผิดถูกเพื่อก้าวข้ามการหยุดชะงัก แนวทางในการจัดลำดับความสำคัญของธุรกิจ และหลักการในการรับมือกับความเปลี่ยนแปลง

คุณจะนิยามธุรกิจที่มีความยืดหยุ่นว่าอย่างไร

มาซาสึกุ ไนโตะ: ความยืดหยุ่น หรือ Resilience ได้กลายเป็นคำฮิตติดกระแสไปแล้วครับ ใครๆ ก็พากันพูดถึงสังคมที่ยืดหยุ่น องค์กรที่ยืดหยุ่น และโครงสร้างภายในที่ยืดหยุ่น ซึ่งนั่นก็สะท้อนให้เห็นว่าสภาพแวดล้อมของเราได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงเพราะภาวะโรคระบาด ตอนนี้เราก็อยู่ในยุคที่เรียกว่าความปกติใหม่ (New normal) ผมมองว่าความยืดหยุ่นนั้นคือศักยภาพ สิ่งที่ทุกธุรกิจควรจะทำให้ได้ เราจะปรับตัวอย่างรวดเร็วให้เข้ากับความปกติใหม่นี้ได้อย่างไร เราสามารถฟื้นตัวและสร้างโอกาสใหม่ๆ จากการเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่

จากมุมมองของคุณ ความยืดหยุ่นทางธุรกิจนั้นอยู่ที่ความสามารถในการกลับมาหรือฟื้นคืนจากปัญหาที่เผชิญ

มาซาสึกุ ไนโตะ: ใช่แล้วครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ปัจจุบัน “การกลับมา” นั่นหมายถึงการที่รู้จักวิธีฟื้นคืนหรือปรับตัว ก่อนการระบาด โลกของเราต่างจากนี้อย่างสิ้นเชิง เราก็ได้เห็นแล้วว่าหลังจากนั้นทุกอย่างก็ล้มระเนระนาดไปหมด การปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคปกติใหม่นั้นเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ซึ่งมีความท้าทายมาก

การปรับตัวให้เข้ากับโลกยุคปกติใหม่นั้นเป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ซึ่งมีความท้าทายมาก จากนิยามด้านความยืดหยุ่นที่เน้นไปที่การฟื้นกลับคืนและการปรับตัวที่ว่ามานั้น คุณคิดว่าผู้นำจะนำทางและคว้าชัยชนะท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ได้อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการที่คุณ ได้มีโอกาสทำงานในหลากหลายสภาพแวดล้อม และได้ร่วมงานกับผู้นำหลากหลายประเภท

มาซาสึกุ ไนโตะ: คำตอบง่ายๆ ของผมคือการย้อนกลับไปหาหลักการพื้นฐานของผมเอง นั่นคือความทุ่มเทและความยืดหยุ่น ความทุ่มเทนั้นเป็นสิ่งสำคัญมากในการดำเนินธุรกิจ ความทุ่มเทที่จะก้าวข้ามปัญหาต่างๆ คือสิ่งที่ทำให้เรามีทัศนคติที่ไม่ยอมแพ้ หากเราไม่มีทัศนคติเช่นนั้น ผมคิดว่าเราก็คงไม่สามารถหาคำตอบเพื่อมาแก้ปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างแน่นอน

จากนั้นก็ต้องมีความยืดหยุ่น ซึ่งต้องอาศัยความสมดุลที่พอเหมาะด้วย การยืดหยุ่นมากจนเกินไปอาจนำไปสู่การไร้ซึ่งทิศทาง แนวทางของคุณก็จะเปลี่ยนจากเอไปบีไปซี แต่ในทางกลับกัน หากคุณแข็งทื่อเกินไปและเอาแต่ยึดติดกับแผนหนึ่งเดียวนั่นก็อาจส่งผลเสียได้ ทั้งอาจจะนำไปสู่ข้อผิดพลาดหรือการเดินไปในทิศทางที่ผิดๆ กุญแจสำคัญอยู่ที่การรักษาสมดุลระหว่างความคล่องตัวโดยที่ยังคงไว้ซึ่งทิศทางในการดำเนินงาน

เราควรจะอ้าแขนรับการเปลี่ยนแปลง หรือแม้แต่สนุกไปกับมัน นั่นแหละคือสิ่งที่ความทุ่มเทจะช่วยให้เราทำแบบนั้นได้ เปลี่ยนมุมมองของเราไปจากเดิม แล้วมองว่านี่คือโอกาสในการเติบโตและพัฒนา จากนั้นเราก็สร้างศักยภาพด้านความคล่องตัวในระดับองค์กร โดยที่ยังคงรักษาแนวทางที่ไตร่ตรองมาเป็นอย่างดีเอาไว้

เมื่อพูดถึงความท้าทายที่การหยุดชะงักนั้นส่งผลต่อการวางแผนธุรกิจ คุณมีคำแนะนำอะไรให้กับผู้นำคนอื่นๆ บ้างในแง่ของการจัดลำดับความสำคัญในการลงทุนในช่วงระยะเวลาที่เกิดการหยุดชะงัก

มาซาสึกุ ไนโตะ: ตามมุมมองของผม สิ่งสำคัญก็คือต้องถามตัวเองว่า “สมรรถนะหลักของเราคืออะไร” การรู้ว่าเราเก่งในด้านไหนจะช่วยให้เราตัดสินใจว่าจะทุ่มเททักษะและทรัพยากรที่มีไปในด้านใด เรายังต้องพิจารณาบริบทที่เฉพาะเจาะจงของอุตสาหกรรมและสายธุรกิจที่เราทำอยู่ด้วย ข้อสามก็คือเราจะต้องมองให้ออกว่าอุตสาหกรรมนี้กำลังเติบโตหรือกำลังถดถอย ข้อสุดท้าย เรายังจะต้องคำนึงถึงเวลาและตัดสินใจว่าจะสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้ในระยะใกล้หรือระยะไกลได้หรือไม่

โดยเราอาจจะลองนำมาวาดเป็นตารางแบบสี่จุด ได้แก่: ความสามารถ สายธุรกิจ สถานะในการเติบโต และเวลา สิ่งนี้จะช่วยให้เราไม่เพียงแต่ทราบว่าจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในจุดไหนและอย่างไร แต่ยังจะช่วยวางเป้าหมายที่ชัดเจนสำหรับวัดผลด้วย

คุณคิดว่าผู้นำจะสามารถเพิ่มพูนความยืดหยุ่นและนวัตกรรมด้วยตัวเองได้หรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

มาซาสึกุ ไนโตะ: ถึงแม้จะมีความแตกต่างระหว่างภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยุโรปตะวันตก และอเมริกา แต่ผมก็เชื่อว่ามีแนวทางสากลที่สามารถนำไปใช้ได้กับทุกที่ นั่นก็คือการเผชิญหน้ากับความจริงของสภาวะตลาดแบบซึ่งๆ หน้า แทนที่จะเพิกเฉยไม่สนใจหรือหลงลืมข้อเท็จจริง ผู้นำที่มีความยืดหยุ่นจะต้องยึดถือตามความจริงในการประเมินสถานการณ์ปัจจุบัน หลังจากนั้นก็จะเป็นการนำแนวทางที่เน้นการปฏิบัติมาใช้เพื่อบริหารจัดการและเอาชนะสถานการณ์นั้นให้ได้ หากปราศจากทัศนคติในเชิงรุกแล้วล่ะก็

คุณก็เสี่ยงที่จะกลายเป็นฝ่ายเอาแต่ตั้งรับและรอให้การเติบโตเดินเข้ามาหาคุณเอง นอกจากนี้ยังจำเป็นต้องสามารถจำลองสถานการณ์ผ่านหลากหลายมุมมองด้วย ซึ่งเราจะทำได้โดยการรับฟังคำติชมนั่นเอง สิ่งสำคัญก็คือการพูดคุยกับคนอื่นๆ และพิจารณาสิ่งต่างๆ ผ่านมุมมองที่แตกต่างกัน เช่น สมาชิกทีม ลูกค้า ผู้ที่สนใจจะลงทุน นั่นคือวิธีที่เรานำเอาคำขวัญของฟูจิฟิล์มที่ว่า Never Stop มาปฏิบัติใช้จริง เราจะไม่หยุดพัฒนาและปฏิรูปเพื่อให้แน่ใจว่าเราสามารถตอบโจทย์ปัญหาของลูกค้าและพนักงาน พร้อมนำพาธุรกิจให้เติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้อง

สรุปสั้นๆ ก็คือ ผู้นำจะต้องมีทัศนคติในเชิงรุก นำแนวทางที่เน้นการปฏิบัติมาใช้ และทำความเข้าใจข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน พร้อมพิจารณาถึงมุมมองที่แตกต่างกัน เพื่อนำมาใช้วางกรอบดำเนินการสถานการณ์

ฟูจิฟิล์ม บิสซิเนส อินโนเวชั่น ดำเนินธุรกิจแบบ B2B เป็นหลัก ดังนั้นเราจึงเข้าใจเป็นอย่างดีถึงความต้องการของลูกค้าในระดับองค์กร คุณช่วยเล่าเกี่ยวกับทัศนะที่มีในด้านนี้ได้หรือไม่

มาซาสึกุ ไนโตะ: ทั้งหมดนั้นอยู่ที่การรู้จักคาดเดาปัญหากวนใจลูกค้าในสถานการณ์ปัจจุบันและตอบสนองด้วยแนวทางในเชิงรุก ซึ่งคำนึงถึงข้อเท็จจริงและมุมมองที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อที่เราจะได้สามารถช่วยให้ลูกค้าฟื้นคืนสภาพเดิมได้อย่างมีประสิทธิภาพ นั่นแหละคือทักษะที่เราทำได้อย่างเชี่ยวชาญ ความยืดหยุ่นทางธุรกิจนั้นเป็นมากกว่าแค่คำฮิตติดกระแสสำหรับฟูจิฟิล์ม แต่นี่คือมุมมองและทัศนคติที่ทำให้เราไม่เคยหยุดนิ่งและฟื้นกลับมาเหมือนเดิมได้สำเร็จทุกครั้ง เราสามารถเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงและเปลี่ยนความยากลำบากให้กลายเป็นโอกาสในการเจริญเติบโต

 

ธุรกิจที่ยืดหยุ่นนั้นคือธุรกิจที่สามารถคืนสภาพได้อย่างรวดเร็วเพื่อฟื้นฟู ปรับตัวให้รับกับความปกติใหม่ และคว้าโอกาสใหม่ๆ เอาไว้ โดยผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องนำความยืดหยุ่นมาใช้อย่างสมดุล และมีความหลงใหลทุ่มเทในงานที่ทำ เมื่อมีค่านิยมเช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถเผชิญความท้าทายและเปลี่ยนความยากลำบากให้กลายเป็นโอกาส

"ธุรกิจที่ยืดหยุ่นนั้นคือธุรกิจที่สามารถคืนสภาพได้อย่างรวดเร็วเพื่อฟื้นฟู ปรับตัวให้รับกับความปกติใหม่ และคว้าโอกาสใหม่ๆ เอาไว้ โดยผู้นำธุรกิจจำเป็นต้องนำความยืดหยุ่นมาใช้อย่างสมดุล และมีความหลงใหลทุ่มเทในงานที่ทำ เมื่อมีค่านิยมเช่นนี้แล้ว ก็จะสามารถเผชิญความท้าทายและเปลี่ยนความยากลำบากให้กลายเป็นโอกาส."

แหล่งข้อมูลที่เกี่ยวข้อง